ธุรกิจที่อยู่ในกลุ่ม ‘สายเทา’ หลายครั้งก็เจอปัญหาในการทำการตลาดออนไลน์ใช่ไหมครับ? โดยเฉพาะการใช้ Google Ads ที่ดูเหมือนจะยากเย็นเหลือเกิน แต่จริงๆ แล้วมันก็มีวิธี มีเทคนิคอยู่เหมือนกันนะ บทความนี้จะพาไปดูว่า ‘google ads สาย เทา’ คืออะไร และทำยังไงให้การตลาดออนไลน์ของคุณไปต่อได้แบบไม่สะดุด มาดูกันเลยครับ
ข้อควรรู้สำคัญสำหรับ Google Ads สายเทา
- Google Ads สายเทา คือการใช้แพลตฟอร์ม Google Ads เพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการที่อาจจะไม่ได้ผิดกฎหมายร้ายแรง แต่ก็ยังมีความละเอียดอ่อนและอาจขัดต่อนโยบายของ Google ได้
- ธุรกิจสายเทาจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจนโยบายของ Google Ads อย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกระงับบัญชีหรือโฆษณาไม่ผ่าน
- การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม การสร้างสรรค์ข้อความโฆษณาที่ดึงดูดแต่ไม่ละเมิดกฎ และการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ
- การทดสอบ A/B Testing และการวัดผลอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- หาก Google Ads ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม ควรพิจารณาช่องทางการตลาดอื่นๆ เช่น โซเชียลมีเดีย, SEO หรือ Influencer Marketing ที่อาจมีความยืดหยุ่นมากกว่า
Google Ads สายเทา คืออะไร ทำไมต้องรู้
เปิดโลก Google Ads สายเทา แบบเข้าใจง่าย
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า "Google Ads สายเทา" มาบ้างแล้ว แต่ก็ยังสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่ จริงๆ แล้วมันก็คือการใช้ Google Ads เพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการที่อาจจะไม่ได้ผิดกฎหมายร้ายแรง แต่ก็อยู่ในกลุ่มที่ Google ค่อนข้างเข้มงวด หรือที่เรียกกันว่า "สินค้าต้องห้าม" หรือ "สินค้าที่จำกัด" นั่นแหละครับ
สินค้าพวกนี้อาจจะเป็นพวกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางประเภท, เครื่องสำอางที่เคลมสรรพคุณเกินจริง, บริการบางอย่างที่อาจจะดูสุ่มเสี่ยง หรือแม้แต่สินค้าที่ต้องมีการตรวจสอบก่อนซื้อ อะไรทำนองนั้น การทำโฆษณา Google Ads สำหรับสินค้ากลุ่มนี้เลยต้องอาศัยความเข้าใจและเทคนิคที่แตกต่างออกไป เพื่อให้โฆษณาของเราไม่โดนแบนจนเสียเงินเปล่า
ทำไมธุรกิจสายเทาถึงต้องหันมามอง Google Ads
ถึงแม้จะมีความเสี่ยง แต่ Google Ads ก็ยังเป็นช่องทางที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจสายเทา ด้วยเหตุผลหลายอย่างเลยครับ
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังค้นหา: คนที่เข้ามาค้นหาใน Google มักจะมีความต้องการที่ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเราสามารถวางโฆษณาของเราให้ไปปรากฏตรงหน้าเขาได้ โอกาสที่จะได้ลูกค้าก็สูงขึ้นมาก
- วัดผลได้ชัดเจน: Google Ads มีเครื่องมือที่ช่วยให้เราเห็นผลลัพธ์ได้แบบเรียลไทม์ ว่าโฆษณาของเราทำงานได้ดีแค่ไหน มีคนคลิกเท่าไหร่ เสียเงินไปเท่าไหร่ ทำให้เราปรับปรุงได้ทันท่วงที
- สร้างการรับรู้แบรนด์: แม้ว่าโฆษณาอาจจะไม่ได้อยู่ตลอด แต่การที่แบรนด์ของเราไปปรากฏในหน้าผลการค้นหาบ่อยๆ ก็ช่วยสร้างความคุ้นเคยและความน่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง
ความเสี่ยงที่ต้องเจอเมื่อเล่น Google Ads สายเทา
แน่นอนว่าอะไรที่ได้มาง่ายๆ ก็มักจะมีความเสี่ยงตามมาเสมอ การทำ Google Ads สายเทาเองก็เช่นกันครับ สิ่งที่ต้องเจอแน่ๆ ก็คือ:
- โฆษณาโดนระงับ (Ad Disapproval) หรือบัญชีโดนแบน: อันนี้เจอบ่อยสุดๆ ครับ เพราะ Google มีนโยบายที่เข้มงวดมากกับสินค้าบางประเภท ถ้าเราไม่เข้าใจกฎ หรือพยายามเลี่ยงแบบไม่ถูกวิธี โฆษณาก็จะถูกปิด หรือร้ายแรงกว่านั้นคือบัญชีทั้งหมดอาจจะโดนแบนถาวร
- ต้นทุนต่อคลิก (CPC) สูง: ในบางครั้ง สินค้ากลุ่มนี้อาจจะมีคู่แข่งเยอะ หรือ Google อาจจะมองว่ามีความเสี่ยงสูง ทำให้ราคาประมูลต่อคลิกแพงกว่าปกติ
- ข้อจำกัดในการแสดงผล: บางทีโฆษณาอาจจะแสดงผลได้แค่บางพื้นที่ หรือบางกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น ทำให้เราเข้าถึงลูกค้าได้ไม่เต็มที่
การทำ Google Ads สายเทา ต้องอาศัยความเข้าใจในนโยบายของ Google อย่างลึกซึ้ง และต้องพร้อมที่จะปรับตัวอยู่เสมอ เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การศึกษาข้อมูลและเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาจึงเป็นสิ่งสำคัญมากครับ
เจาะลึกกลยุทธ์ Google Ads สายเทา ให้ปัง
มาถึงส่วนสำคัญแล้วนะ! ถ้าอยากให้โฆษณา Google Ads สายเทาของเราปังๆ ไม่ใช่แค่ลงๆ ไปแล้วจบ เราต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนหน่อย
การเลือกคีย์เวิร์ดเด็ด สำหรับสายเทา
การหาคีย์เวิร์ดนี่แหละคือหัวใจหลักเลยนะ ถ้าเลือกผิด ชีวิตก็เปลี่ยน! สำหรับสายเทาเนี่ย มันจะมีความละเอียดอ่อนกว่าปกติหน่อย เพราะคำบางคำอาจจะดูธรรมดา แต่พอเอาไปใช้กับสินค้าหรือบริการของเราแล้ว มันอาจจะกลายเป็นคำต้องห้ามได้
- คิดถึงสิ่งที่ลูกค้าจะพิมพ์หาจริงๆ: ลองนึกดูว่าถ้าเราเป็นลูกค้า เราจะเสิร์ชหาอะไร? ใช้คำที่คนทั่วไปใช้ ไม่ใช่ศัพท์เทคนิคที่เราเข้าใจกันเอง
- ใช้เครื่องมือช่วยหาไอเดีย: Google Keyword Planner ยังพอใช้ได้นะ แต่ต้องระวังคำที่มันแนะนำมาด้วย อาจจะต้องเอามาปรับอีกที หรือลองดูพวกเครื่องมืออื่นๆ ที่เน้นหาคีย์เวิร์ดแบบ long-tail (คำยาวๆ ที่เจาะจง)
- อย่าลืมคำที่เกี่ยวข้องแต่ไม่ตรงเป๊ะ: บางทีลูกค้าอาจจะไม่ได้พิมพ์คำตรงๆ ของสินค้าเรา แต่อาจจะพิมพ์คำที่ใกล้เคียง หรือปัญหาที่สินค้าเราแก้ได้ ลองหาคำพวกนี้มาใส่ไว้ด้วย
สร้างสรรค์โฆษณาให้น่าสนใจ ไม่โดนแบน
อันนี้ก็สำคัญไม่แพ้กันเลยนะ จะเขียนโฆษณาทั้งที ต้องทำให้คนคลิก แต่ก็ต้องไม่ลืมกฎของ Google ด้วย ไม่งั้นโดนแบนไม่รู้ตัว
- เน้นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ: บอกไปเลยว่าใช้แล้วชีวิตเขาจะดีขึ้นยังไง จะแก้ปัญหาอะไรให้เขาได้บ้าง
- ใช้คำที่สื่อถึงสินค้า/บริการ แต่เลี่ยงคำต้องห้าม: อันนี้ต้องใช้ศิลปะหน่อย อาจจะใช้คำอธิบายที่อ้อมๆ แต่ยังสื่อสารได้ชัดเจน
- ใส่ Call to Action (CTA) ที่ชัดเจน: บอกให้รู้ไปเลยว่าอยากให้เขาทำอะไรต่อ เช่น "ดูรายละเอียดเพิ่มเติม", "สั่งซื้อเลย", "ปรึกษาฟรี"
การเขียนโฆษณาสำหรับธุรกิจสายเทา ต้องอาศัยความเข้าใจในนโยบายของ Google อย่างลึกซึ้ง ควบคู่ไปกับการเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้โฆษณาสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ละเมิดกฎที่ตั้งไว้
การกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด
ถ้าเรายิงโฆษณาไปผิดคน ก็เหมือนยิงปืนไม่ถูกเป้า เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา ดังนั้น การกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำจึงเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลย
- อายุ เพศ ที่อยู่: ข้อมูลพื้นฐานที่ต้องใส่ใจ
- ความสนใจ พฤติกรรม: กลุ่มเป้าหมายของเราชอบอะไร สนใจอะไรเป็นพิเศษ? พวกเขาชอบซื้อของออนไลน์ไหม? ชอบอ่านบทความแนวไหน?
- อุปกรณ์ที่ใช้: พวกเขาใช้มือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ในการค้นหาข้อมูลมากกว่ากัน? ข้อมูลนี้จะช่วยให้เราปรับรูปแบบโฆษณาได้เหมาะสม
การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด จะช่วยให้เราเลือกคีย์เวิร์ดและสร้างโฆษณาที่ตรงใจพวกเขามากขึ้น ทำให้มีโอกาสที่โฆษณาจะผ่านและได้ผลลัพธ์ที่ดีตามมา ลองศึกษาเรื่อง การสร้าง Backlinks อย่างปลอดภัย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้เว็บไซต์ของคุณด้วยนะ
เทคนิคการเขียนโฆษณา Google Ads สายเทา ให้ผ่านฉลุย
เขียนโฆษณา Google Ads สำหรับธุรกิจสายเทาเนี่ย มันก็มีเทคนิคของมันนะ ไม่ใช่จะเขียนอะไรก็ได้ โดนแบนทีนี่เสียดายเงินแย่เลย มาดูกันว่าต้องทำยังไงบ้าง
ใช้คำพูดที่หลีกเลี่ยงนโยบาย Google
เรื่องนี้สำคัญสุดๆ เลยนะ เพราะ Google เขามีนโยบายชัดเจนว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพ การเงิน หรืออะไรที่ดูแล้วมันจะไปละเมิดสิทธิ์คนอื่น หรือทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายๆ
- หลีกเลี่ยงคำที่ตรงไปตรงมาเกินไป: เช่น ถ้าขายยา ก็อย่าไปบอกว่า ‘รักษาโรคนี้ได้หายขาด’ ให้เปลี่ยนเป็น ‘ช่วยบรรเทาอาการ’ หรือ ‘เสริมสร้างสุขภาพ’ อะไรแบบนี้แทน
- อย่าอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง: พวกคำว่า ‘ดีที่สุด’, ‘อันดับหนึ่ง’, ‘เห็นผลทันที’ อะไรพวกนี้ Google ไม่ชอบนะ เขาอยากให้เราพูดความจริง
- ระวังคำต้องห้าม: บางคำนี่คือต้องห้ามเด็ดขาดเลย เช่น คำที่เกี่ยวกับยาเสพติด การพนันที่ผิดกฎหมาย หรืออะไรที่ดูผิดศีลธรรม ลองหาลิสต์คำต้องห้ามของ Google มาดูก่อนก็ดี
การใช้คำที่ดูซอฟต์ลง แต่ยังสื่อสารประโยชน์ได้ครบถ้วน จะช่วยให้โฆษณาเรามีโอกาสผ่านมากขึ้นเยอะเลย ลองคิดถึงมุมมองของ Google ดูว่าเขาอยากให้โฆษณาแบบไหนแสดงบนแพลตฟอร์มของเขา
เน้นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
แทนที่จะไปเน้นที่ตัวสินค้าหรือบริการตรงๆ ลองเปลี่ยนมาเน้นว่าลูกค้าจะได้อะไรจากการใช้สินค้าหรือบริการของเราดีกว่า
- แก้ปัญหาให้ลูกค้า: โฆษณาควรจะบอกได้ว่าสินค้าเราช่วยแก้ปัญหาอะไรให้เขาได้บ้าง เช่น ‘หมดกังวลเรื่อง…’ หรือ ‘ให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้เต็มที่อีกครั้ง’
- สร้างความรู้สึกที่ดี: บอกว่าใช้แล้วชีวิตเขาจะดีขึ้นยังไง มีความสุขขึ้นไหม หรือสบายใจขึ้นหรือเปล่า
- ความคุ้มค่า: ถ้าสินค้าเรามีโปรโมชั่น หรือให้ความคุ้มค่าอะไรเป็นพิเศษ ก็ใส่เข้าไปได้ แต่ต้องไม่ดูเป็นการยัดเยียดเกินไป
สร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์
ถึงจะเป็นธุรกิจสายเทา แต่ความน่าเชื่อถือก็ยังสำคัญนะ คนจะกล้าซื้อกล้าใช้กับเราก็ต่อเมื่อเขารู้สึกว่าเราไว้ใจได้
- ใส่ข้อมูลติดต่อให้ครบ: เบอร์โทรศัพท์ เว็บไซต์ หรือช่องทางโซเชียลมีเดียที่ติดต่อได้จริง จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้า
- รีวิวจากลูกค้า: ถ้ามีรีวิวดีๆ จากลูกค้าเก่าๆ เอามาใส่ในโฆษณาได้ จะช่วยได้มากเลย แต่ต้องเป็นรีวิวที่ดูสมจริงนะ
- การันตี หรือรับประกัน: ถ้ามีอะไรที่รับประกันได้ เช่น คืนเงิน หรือเปลี่ยนสินค้าได้ ก็ใส่เข้าไปเลย มันทำให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
การเขียนโฆษณาให้ผ่านฉลุยเนี่ย มันต้องอาศัยการสังเกตและปรับปรุงอยู่เรื่อยๆ ลองเอาเทคนิคพวกนี้ไปปรับใช้ดูนะ แล้วก็อย่าลืมติดตามผลลัพธ์ด้วยล่ะ
การตั้งค่าแคมเปญ Google Ads สายเทา ให้ได้ผล
พอมาถึงขั้นตอนการตั้งค่าแคมเปญนี่แหละ คือจุดที่หลายคนเริ่มปวดหัว แต่ไม่ต้องห่วงนะ เราจะมาดูกันว่าต้องทำยังไงให้โฆษณาของเราไปถึงกลุ่มเป้าหมายแบบตรงจุดที่สุด
การเลือกประเภทแคมเปญที่เหมาะสม
Google Ads มีแคมเปญให้เลือกหลายแบบเลยนะ สำหรับสายเทาเนี่ย เราต้องเลือกให้ดีๆ หน่อย เพราะบางประเภทอาจจะไม่เหมาะ หรืออาจจะโดนจับตาเป็นพิเศษ ลองดูตัวเลือกพวกนี้:
- Search Campaign: อันนี้เบสิกสุดๆ คือเวลาคนค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เราตั้งไว้ โฆษณาก็จะขึ้นมา เหมาะกับธุรกิจที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะค้นหาตรงๆ
- Display Campaign: เหมาะกับการสร้างการรับรู้แบรนด์ โฆษณาจะไปแสดงตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่อยู่ในเครือข่ายของ Google แต่ต้องระวังเรื่องรูปภาพและข้อความให้ดีนะ เดี๋ยวจะโดนแบนเอา
- Video Campaign: ถ้าธุรกิจเรามีคอนเทนต์วิดีโอที่น่าสนใจ การใช้แคมเปญวิดีโอจะช่วยดึงดูดคนได้ดีเลย
การเลือกประเภทแคมเปญที่ใช่ จะช่วยให้เราใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การตั้งค่าราคาเสนอ (Bid) อย่างชาญฉลาด
เรื่องราคาเสนอ หรือ Bid เนี่ย เป็นหัวใจสำคัญเลยนะ ถ้าตั้งสูงไปก็เปลืองงบ ถ้าตั้งต่ำไป โฆษณาก็อาจจะไม่ได้แสดง หรือแสดงน้อยเกินไป
- Manual CPC (Cost Per Click): เรากำหนดราคาต่อคลิกเองเลย เหมาะกับคนที่อยากควบคุมงบแบบเป๊ะๆ แต่ก็ต้องคอยดูตลอดเวลา
- Automated Bidding: ให้ Google ช่วยตั้งราคาให้ อันนี้สะดวกดี มีหลายแบบให้เลือก เช่น Maximize Clicks, Maximize Conversions หรือ Target CPA ซึ่งแต่ละแบบก็เหมาะกับเป้าหมายต่างกันไป
สำหรับสายเทา การตั้ง Bid ต้องดูคู่แข่งด้วยนะ ถ้าคู่แข่งเยอะ ราคาอาจจะต้องขยับขึ้นมาหน่อย หรืออาจจะต้องหา คีย์เวิร์ด ที่คู่แข่งยังไม่ค่อยเล่น
การตั้งราคาเสนอที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่การใส่ตัวเลข แต่คือการเข้าใจว่าเราอยากได้อะไรจากการลงโฆษณาครั้งนี้ และคู่แข่งของเราเป็นใคร
การใช้ส่วนขยายโฆษณาให้เป็นประโยชน์
ส่วนขยายโฆษณา (Ad Extensions) นี่แหละ ตัวช่วยชั้นดีที่จะทำให้โฆษณาของเราดูโดดเด่นและมีข้อมูลมากขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มโอกาสให้คนคลิกด้วยนะ
- ส่วนขยายไซต์ลิงก์ (Sitelink Extensions): เพิ่มลิงก์ไปยังหน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์ของเรา เช่น หน้าสินค้า โปรโมชั่น หรือหน้าติดต่อ
- ส่วนขยายข้อความ (Callout Extensions): ใส่ข้อความสั้นๆ ที่เน้นจุดเด่นของสินค้าหรือบริการ เช่น "ส่งฟรีทั่วประเทศ" หรือ "รับประกันความพึงพอใจ"
- ส่วนขยายเบอร์โทร (Call Extensions): ใส่เบอร์โทรศัพท์เพื่อให้ลูกค้าโทรหาเราได้ง่ายๆ
- ส่วนขยายตำแหน่งที่ตั้ง (Location Extensions): แสดงที่อยู่ร้านค้าของเรา เหมาะกับธุรกิจที่มีหน้าร้าน
การใช้ส่วนขยายโฆษณาเหล่านี้ จะช่วยให้โฆษณาของเราดูน่าสนใจและให้ข้อมูลครบถ้วนมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อ อัตราการคลิก และการตัดสินใจของลูกค้าเลยล่ะ
การวัดผลและปรับปรุงแคมเปญ Google Ads สายเทา
พอเราลงโฆษณากันไปแล้วเนี่ย สิ่งสำคัญที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาดเลยก็คือเรื่องของการวัดผลนี่แหละครับ เพราะถ้าไม่วัด เราก็ไม่รู้ว่าที่ทำไปมันเวิร์คไม่เวิร์ค แล้วจะไปปรับปรุงอะไรให้มันดีขึ้นได้ยังไงจริงไหม?
ตัวชี้วัดสำคัญที่ต้องจับตา
เวลาดูผลล่ะ ก็มีหลายอย่างที่ต้องส่องดูนะ ไม่ใช่แค่ยอดคลิกอย่างเดียว ลองดูพวกนี้เป็นหลักเลย:
- ยอดคลิก (Clicks): อันนี้ก็พื้นฐานเลย ดูว่ามีคนสนใจคลิกเข้ามาดูโฆษณาเราเยอะแค่ไหน
- จำนวนการแสดงผล (Impressions): โฆษณาเราไปปรากฏให้คนเห็นกี่ครั้ง ยิ่งเยอะก็ยิ่งมีโอกาสคนคลิก
- อัตราการคลิกผ่าน (CTR – Click-Through Rate): อันนี้สำคัญมาก มันคือเปอร์เซ็นต์ของคนที่เห็นโฆษณาแล้วคลิกเข้ามา ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงว่าโฆษณาเราน่าสนใจ
- ราคาต่อคลิก (CPC – Cost Per Click): เราจ่ายเงินไปเท่าไหร่ต่อการคลิกแต่ละครั้ง ต้องคุมให้อยู่ในงบนะ
- ยอดการแปลง (Conversions): อันนี้คือเป้าหมายหลักเลย คนคลิกเข้ามาแล้วทำอะไรตามที่เราต้องการบ้าง เช่น สั่งซื้อ, สมัครสมาชิก, ติดต่อกลับ
- ราคาต่อการแปลง (CPA – Cost Per Acquisition): เราต้องจ่ายเงินเท่าไหร่เพื่อให้ได้ลูกค้ามา 1 คน ยิ่งต่ำยิ่งคุ้ม
วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาจุดที่ต้องปรับปรุง
พอได้ตัวเลขพวกนี้มาแล้ว ก็ต้องมานั่งดูกันว่าตรงไหนมันยังไม่ดีพอ อย่างเช่น:
- ถ้า CTR ต่ำ อาจจะแปลว่าโฆษณาเราไม่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย หรือคีย์เวิร์ดที่เราเลือกมันกว้างไป
- ถ้า CPC สูงเกินไป อาจจะต้องลองปรับราคาเสนอ หรือหาคีย์เวิร์ดที่ถูกกว่านี้
- ถ้า Conversion น้อย ทั้งๆ ที่คลิกเยอะ อาจจะต้องไปดูที่หน้า Landing Page ว่ามันใช้งานง่าย น่าเชื่อถือ หรือมี Call to Action ที่ชัดเจนพอหรือเปล่า
การวิเคราะห์ข้อมูลไม่ใช่แค่การดูตัวเลข แต่คือการพยายามทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า ว่าอะไรที่ทำให้เขาคลิก อะไรที่ทำให้เขาตัดสินใจซื้อ หรืออะไรที่ทำให้เขาเดินจากไป
ทดสอบ A/B Testing เพื่อหาเวอร์ชันที่ดีที่สุด
วิธีที่เจ๋งสุดๆ ในการปรับปรุงก็คือการทำ A/B Testing นี่แหละครับ หลักการง่ายๆ คือเราสร้างโฆษณา 2 แบบ (หรือมากกว่านั้น) ที่ต่างกันเล็กน้อย เช่น เปลี่ยนแค่พาดหัว หรือเปลี่ยนรูปภาพ แล้วปล่อยให้ Google Ads มันสุ่มแสดงผลให้คนกลุ่มเดียวกันดู แล้วเราก็มาดูว่าแบบไหนได้ผลดีกว่ากัน
- ทดสอบพาดหัว: ลองเปลี่ยนคำที่ใช้ในพาดหัวดูว่าแบบไหนดึงดูดกว่า
- ทดสอบรูปภาพ/วิดีโอ: ภาพหรือวิดีโอแบบไหนที่ทำให้คนหยุดดูนานขึ้น
- ทดสอบข้อความโฆษณา: ลองปรับเปลี่ยนเนื้อหา หรือ Call to Action ดู
- ทดสอบหน้า Landing Page: ลองเปลี่ยนดีไซน์ หรือข้อความบนหน้าเว็บที่คนจะเข้ามาเจอหลังคลิก
การทำแบบนี้จะช่วยให้เราเจอเวอร์ชันโฆษณาที่ใช่จริงๆ ไม่ต้องเดาสุ่มๆ เอาครับ แล้วพอเจอแล้ว ก็เอาเวอร์ชันที่ดีที่สุดไปใช้ต่อยอดได้เลย
ข้อควรระวังและกฎเหล็ก Google Ads สายเทา
ทำความเข้าใจนโยบาย Google Ads อย่างถ่องแท้
ก่อนจะลุย Google Ads สายเทาเนี่ย สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือ ทำความเข้าใจกฎของ Google ให้เป๊ะๆ นะครับ Google เขามีนโยบายที่ค่อนข้างเข้มงวดกับสินค้าหรือบริการบางประเภท โดยเฉพาะพวกที่เกี่ยวกับสุขภาพ การเงิน หรืออะไรที่อาจจะดู ‘เทาๆ’ หน่อย ถ้าเราไม่รู้กฎ แล้วเผลอทำผิดไป โฆษณาก็จะโดนแบน หรือร้ายแรงกว่านั้นคือบัญชีอาจจะปลิวถาวรเลยก็ได้นะ
หลีกเลี่ยงการใช้คำต้องห้าม
คำบางคำนี่แหละตัวดีเลยที่ทำให้โฆษณาเราไม่ผ่าน ลองนึกภาพว่าเราขายคอร์สลดน้ำหนัก ถ้าเราใช้คำว่า ‘ผอมทันใจใน 3 วัน’ หรือ ‘ลด 10 โลใน 7 วัน’ แบบนี้ Google อาจจะมองว่าเราการันตีผลเกินจริง หรือเข้าข่ายหลอกลวงได้ง่ายๆ
- คำที่เกี่ยวกับสุขภาพ: เช่น ยารักษาโรค, การรักษาโรค, ลดน้ำหนักแบบเห็นผลเร็ว, เสริมสมรรถภาพทางเพศ
- คำที่เกี่ยวกับเงิน: เช่น รวยเร็ว, ได้เงินชัวร์, การลงทุนที่การันตีผลตอบแทนสูง
- คำที่ดูไม่เหมาะสม: คำหยาบ, คำที่ส่อไปในทางเพศ, การพนัน
เตรียมพร้อมรับมือเมื่อโฆษณาไม่ผ่าน
ถึงจะระวังแค่ไหน บางทีโฆษณาก็อาจจะยังไม่ผ่านอยู่ดีครับ ไม่ต้องตกใจไปนะ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าต้องทำยังไงต่อ
- อ่านเหตุผลที่โดนปฏิเสธ: Google จะแจ้งเหตุผลมาเสมอว่าทำไมโฆษณาถึงไม่ผ่าน ลองอ่านดูดีๆ ว่าติดขัดตรงไหน
- แก้ไขตามคำแนะนำ: ถ้า Google บอกว่าติดเรื่องคำไหน หรือนโยบายส่วนไหน ก็กลับไปแก้โฆษณาให้ตรงจุดนั้น
- ลองปรับคำ: บางทีแค่เปลี่ยนคำนิดหน่อย หรือปรับรูปภาพ ก็อาจจะทำให้ผ่านได้แล้ว
- ยื่นอุทธรณ์ (ถ้าคิดว่าไม่ผิด): ในบางกรณี ถ้าเรามั่นใจว่าโฆษณาของเราไม่ได้ละเมิดนโยบายจริงๆ ก็สามารถยื่นอุทธรณ์เพื่อขอให้ Google พิจารณาใหม่ได้
การทำ Google Ads สายเทา มันเหมือนการเดินบนเส้นด้ายครับ ต้องใช้ความระมัดระวังสูงมาก การศึกษาข้อมูลและเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเจอปัญหาได้เยอะเลย
ทางเลือกอื่นนอกเหนือจาก Google Ads สำหรับสายเทา
เข้าใจเลยว่า Google Ads สายเทา มันก็มีความเสี่ยงอยู่บ้างเนอะ บางทีโฆษณาเราก็อาจจะโดนแบน หรือไม่ผ่านนโยบายได้ง่ายๆ วันนี้เลยอยากจะมาแนะนำทางเลือกอื่นๆ ที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจสายเทาของเรา เผื่อจะช่วยกระจายความเสี่ยง หรือหาช่องทางใหม่ๆ เพิ่มเติมได้นะ
การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดียเนี่ย เป็นอะไรที่คนไทยใช้กันเยอะมากกกก ลองนึกถึง Facebook, Instagram, TikTok ดูสิ แต่ละแพลตฟอร์มก็มีสไตล์การเล่นต่างกันไปนะ
- Facebook: ยังไงก็ยังเป็นแพลตฟอร์มหลักที่คนเข้าถึงง่าย สร้างเพจ สร้างกลุ่ม หรือจะยิงแอดแบบเน้นๆ ก็ยังทำได้อยู่ แต่ต้องระวังเรื่องนโยบายของ Facebook ด้วยนะ เขาเข้มงวดเหมือนกัน
- Instagram: เหมาะกับธุรกิจที่เน้นภาพสวยๆ สินค้าดูดี ถ่ายรูปให้ปังๆ แล้วลงสตอรี่ หรือโพสต์รัวๆ ไปเลย การใช้แฮชแท็กก็ช่วยให้คนหาเจอได้ง่ายขึ้น
- TikTok: มาแรงสุดๆ ตอนนี้! ถ้าสินค้าหรือบริการเราเข้ากับคอนเทนต์สนุกๆ สร้างสรรค์ได้ ลองทำวิดีโอสั้นๆ ดู อาจจะไวรัลแบบไม่รู้ตัวก็ได้นะ
การทำ SEO สำหรับธุรกิจสายเทา
อันนี้อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ถ้าทำดีๆ ระยะยาวคุ้มแน่นอน การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization คือการปรับปรุงเว็บไซต์ของเราให้ติดอันดับต้นๆ ในหน้าผลการค้นหาของ Google เวลาคนหาอะไรที่เกี่ยวกับสินค้าเรา เขาจะได้เจอเราก่อนไง การทำ SEO ที่ดีสำหรับธุรกิจสายเทาคือการเลือกใช้ คีย์เวิร์ด ที่ปลอดภัยและเกี่ยวข้องกับสินค้าของเราจริงๆ สร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์และน่าสนใจให้กับลูกค้าเยอะๆ แล้วก็ค่อยๆ สร้างลิงก์กลับมาที่เว็บเราอย่างระมัดระวังนะ การทำ SEO ที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจสายเทาของเราเติบโตได้อย่างยั่งยืน ลองศึกษาเรื่อง สายเทา SEO เพิ่มเติมดูได้เลย
การใช้ Influencer Marketing
สมัยนี้ใครๆ ก็เชื่อรีวิวจากคนดัง หรือคนที่มีผู้ติดตามเยอะๆ ใช่ไหมล่ะ การจ้าง Influencer ที่มีฐานแฟนคลับตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา มาช่วยโปรโมทสินค้าหรือบริการ ก็เป็นอีกวิธีที่น่าสนใจนะ เลือกคนที่ดูน่าเชื่อถือ และมีสไตล์เข้ากับแบรนด์เรา จะช่วยให้คนเชื่อถือและอยากลองใช้สินค้าของเรามากขึ้นเยอะเลย
กำลังมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจาก Google Ads สำหรับธุรกิจสายเทาอยู่ใช่ไหม? ไม่ต้องกังวล! มีเครื่องมือเจ๋งๆ มากมายที่ช่วยให้คุณโปรโมทสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองเข้ามาดูที่เว็บไซต์ของเราสิ เรามีเครื่องมือ SEO และการตลาดออนไลน์ที่หลากหลาย พร้อมให้คุณเลือกใช้เพื่อธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ!
สรุปแล้วไงต่อ?
ก็ประมาณนี้แหละครับสำหรับเรื่อง Google Ads สายเทาที่เอามาเล่าให้ฟังกัน หวังว่าคงพอเห็นภาพกันบ้างนะว่ามันมีอะไรบ้าง การตลาดออนไลน์มันก็มีหลายมุม หลายแบบจริงๆ บางทีก็ต้องลองผิดลองถูกกันไปแหละเนอะ ถ้าใครกำลังคิดจะเล่นสายนี้ ก็ลองเอาข้อมูลพวกนี้ไปปรับใช้ดูนะ แต่อย่าลืมว่าอะไรที่มันเทาๆ หน่อย ก็ต้องระวังเป็นพิเศษหน่อยนึง ทำอะไรให้มันถูกกฎไว้ก่อนดีที่สุด จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวทีหลังนะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Google Ads สายเทา
Google Ads สายเทา คืออะไร?
Google Ads สายเทา ก็คือการใช้ Google Ads โปรโมทสินค้าหรือบริการที่อาจจะดูไม่ค่อยตรงไปตรงมา หรือเป็นสินค้าที่ Google อาจจะไม่ได้สนับสนุนเต็มที่ เช่น บางอย่างเกี่ยวกับสุขภาพ ความบันเทิง หรือสินค้าที่ต้องระวังเป็นพิเศษนั่นเอง
ทำไมธุรกิจที่ขายของสายเทาถึงต้องใช้ Google Ads?
เพราะ Google เป็นแหล่งค้นหาอันดับต้นๆ คนส่วนใหญ่นึกถึง Google เวลาอยากหาอะไร ถ้าเราไม่ใช้ Google Ads ก็เหมือนเราพลาดโอกาสที่จะให้คนเห็นร้านของเราไปเยอะเลยนะ
การลงโฆษณา Google Ads สายเทามีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
ความเสี่ยงหลักๆ เลยคือ โฆษณาอาจจะโดนแบน หรือบัญชีอาจจะถูกปิดได้ง่ายๆ ถ้าเราทำผิดกฎของ Google หรือใช้คำที่เค้าไม่ชอบ
จะเลือกคำค้นหา (Keyword) สำหรับสายเทายังไงดี?
ต้องเลือกคำที่คนใช้หาจริงๆ แต่ก็ต้องเลี่ยงคำที่ดูโจ่งแจ้งเกินไป ลองคิดว่าถ้าเราเป็นลูกค้า เราจะพิมพ์หาว่าอะไร แล้วก็ลองปรับคำให้มันดูซอฟต์ลงหน่อย
เขียนโฆษณายังไงให้ไม่โดนแบน?
ต้องเขียนให้ดูดี มีประโยชน์ต่อลูกค้า เน้นสิ่งที่ลูกค้าจะได้ ไม่ใช่แค่บอกว่าขายอะไร แล้วก็ต้องใช้คำที่สุภาพ ไม่ใช่คำหยาบ หรือคำที่ Google ห้ามใช้
ตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายยังไงให้โดน?
ต้องดูว่าลูกค้าของเราเป็นใคร อายุเท่าไหร่ สนใจอะไร แล้วก็เลือกให้ตรงกลุ่มที่สุด ถ้าเลือกผิด กลุ่มเป้าหมายก็จะไม่เห็นโฆษณาของเรา
ถ้าโฆษณาไม่ผ่าน ควรทำยังไง?
ใจเย็นๆ ก่อนนะ! อ่านเหตุผลที่โฆษณาไม่ผ่าน แล้วก็ลองแก้ไขตามนั้น อาจจะต้องเปลี่ยนคำ ปรับรูป หรือเปลี่ยนวิธีการนำเสนอให้มันดูเข้าท่ามากขึ้น
มีวิธีอื่นนอกจาก Google Ads ไหม สำหรับธุรกิจสายเทา?
มีนะ! ลองไปทำโฆษณาบน Facebook, Instagram หรือ TikTok ดูก็ได้ หรือจะทำ SEO ให้เว็บติดอันดับต้นๆ เอง หรือจ้างคนดัง (Influencer) มาช่วยโปรโมทก็ได้