เวลาพูดถึงการทำ SEO หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า ‘Backlink สายเทา’ มาบ้าง แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่ แล้วถ้าอยากจะทำจริงๆ จะต้องทำยังไงให้ปลอดภัยและได้ผลดี วันนี้เราจะมาดูกันแบบละเอียดเลยครับ เพราะการทำ Backlink ที่ไม่ถูกวิธีอาจจะส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ของคุณได้มากกว่าที่คิด มาทำความเข้าใจและเรียนรู้วิธีการทำ Backlink สายเทาที่ถูกต้องกันดีกว่าครับ
ประเด็นสำคัญที่ต้องจำ
- Backlink สายเทาคือลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์ที่อาจจะไม่ได้ตรงกลุ่มเป้าหมายเป๊ะๆ หรือมีเนื้อหาที่ค่อนข้างเฉพาะทาง แต่ก็ยังสามารถช่วยเรื่อง SEO ได้หากทำอย่างถูกวิธี
- การทำ Backlink สายเทาต้องเลือกแหล่งที่มาให้ดี พิจารณาคุณภาพของเว็บนั้นๆ และสร้างเนื้อหาให้น่าสนใจเพื่อดึงดูดลิงก์
- การวางลิงก์ต้องดูให้เป็นธรรมชาติ เลือกใช้ Anchor Text ให้เหมาะสม และพยายามสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าของเว็บ
- หมั่นตรวจสอบ Backlink ที่มีอยู่เสมอ ใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ และพร้อมปรับกลยุทธ์เมื่อจำเป็น
- ห้ามซื้อขายลิงก์โดยตรง ใช้โปรแกรมอัตโนมัติ หรือสร้างลิงก์ที่ดูไม่เป็นธรรมชาติเด็ดขาด เพราะอาจโดน Google ลงโทษได้
เข้าใจโลกของ Backlink สายเทา
เอาล่ะ มาทำความรู้จักกับ ‘Backlink สายเทา’ กันก่อนดีกว่า หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้มาบ้างแล้ว แต่ก็ยังงงๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมถึงต้องสนใจมันด้วย?
Backlink สายเทา คืออะไรกันแน่?
พูดง่ายๆ เลย Backlink สายเทา ก็คือลิงก์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของเรา แต่ว่ามันไม่ได้มาจากแหล่งที่ตรงไปตรงมา หรืออาจจะมาจากเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาค่อนข้างจะ ‘สีเทาๆ’ หน่อย คือไม่ได้ผิดกฎหมายร้ายแรง แต่ก็ไม่ใช่เว็บที่ดูดีมีชาติตระกูลอะไรขนาดนั้น อาจจะเป็นเว็บที่เน้นรีวิวสินค้าบางประเภทที่อาจจะดูหวือหวาหน่อย หรือเว็บที่เกี่ยวกับเกมพนันออนไลน์ที่ยังไม่ถูกกฎหมายในบางประเทศ หรือแม้แต่เว็บที่เน้นเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ อะไรทำนองนี้แหละครับ มันคือลิงก์ที่อาจจะไม่ได้มาจากแหล่งที่ Google ชอบ 100% แต่ก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้างถ้าเราจัดการมันดีๆ
ทำไมถึงต้องสนใจ Backlink สายเทา?
หลายคนอาจจะสงสัยว่าในเมื่อมันเป็น ‘สายเทา’ แล้วจะไปยุ่งกับมันทำไม? เหตุผลหลักๆ เลยก็คือเรื่องของ ประสิทธิภาพ และ ต้นทุน ครับ บางทีการหา Backlink จากเว็บใหญ่ๆ ที่มีคุณภาพสูงมากๆ มันก็ยากและแพงเหลือเกิน การมองหา Backlink สายเทาบ้าง ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ช่วยให้เราได้ลิงก์มาในราคาที่ถูกลง หรือได้ลิงก์ในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งถ้าเราจัดการมันได้ดี มันก็ยังช่วยเรื่องอันดับ SEO ของเราได้อยู่เหมือนกันนะ ลองนึกภาพว่าถ้าเรามีลิงก์จากเว็บที่คนเข้าเยอะๆ แม้ว่าเว็บนั้นจะไม่ได้ดูดีที่สุดในสายตา Google แต่มันก็ยังมีการส่งทราฟฟิกมาให้เราได้อยู่ดี
ความเสี่ยงที่ต้องรู้ก่อนลุย
แต่เดี๋ยวก่อน! ก่อนที่จะกระโจนเข้าไปหา Backlink สายเทา เราต้องรู้ความเสี่ยงของมันก่อนนะ ไม่งั้นอาจจะเจ็บตัวได้
- โดน Google ลงโทษ: นี่คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด ถ้า Google จับได้ว่าเราใช้ลิงก์จากเว็บที่ไม่มีคุณภาพ หรือเว็บสแปมมากๆ เว็บไซต์ของเราอาจจะโดนลดอันดับ หรือร้ายแรงกว่านั้นคือโดนแบนไปเลยก็ได้
- เสียชื่อเสียง: ถ้าลิงก์ของเราไปโผล่ในเว็บที่ไม่เหมาะสมมากๆ มันอาจจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์เราได้นะ คนเห็นแล้วอาจจะรู้สึกไม่ดีกับเว็บเราไปด้วย
- ทราฟฟิกไม่มีคุณภาพ: บางทีเว็บสายเทาอาจจะไม่ได้มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกับเรา การได้ลิงก์มาก็อาจจะไม่ได้ช่วยเพิ่มยอดขาย หรือทำให้คนสนใจสินค้าเราจริงๆ จังๆ
การทำ Backlink สายเทา มันเหมือนการเดินบนเส้นด้ายบางๆ ครับ ต้องระวังให้มาก ต้องรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ และต้องพร้อมรับมือกับผลที่จะตามมาเสมอ
ถ้าเราอยากจะลอง buy backlinks แบบนี้ ก็ต้องศึกษาให้ดีก่อนนะครับ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
การสร้าง Backlink สายเทาอย่างถูกวิธี
เอาล่ะ มาถึงเรื่องสำคัญแล้วนะ การจะสร้าง Backlink สายเทาให้ได้ผลดี แถมยังปลอดภัย ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ถ้าเรารู้จักวิธีที่ถูกต้อง
เลือกแหล่งที่มาให้ดี มีคุณภาพ
อันดับแรกเลยนะ ต้องดูให้ดีก่อนว่าเราจะไปขอลิงก์จากเว็บไหน เว็บที่ดูน่าเชื่อถือ มีเนื้อหาดีๆ เป็นมิตรกับผู้ใช้ จะช่วยให้ลิงก์ของเราดูมีน้ำหนักมากขึ้น ลองนึกภาพว่าถ้าเราไปขอลิงก์จากเว็บที่เต็มไปด้วยสแปม หรือเนื้อหาหยาบๆ มันก็ไม่น่าจะส่งผลดีกับเว็บเราเท่าไหร่ จริงไหม?
- เว็บต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรา: ถ้าเว็บเราขายของเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง การไปขอลิงก์จากเว็บรีวิวอาหารแมว ก็ยังพอว่า แต่ถ้าไปขอจากเว็บขายอะไหล่รถยนต์ มันก็ดูแปลกๆ ไปหน่อย
- เว็บต้องมีการอัปเดตสม่ำเสมอ: เว็บที่ดูเหมือนถูกทิ้งร้างมานาน อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าที่ควร
- เว็บต้องมี Traffic พอสมควร: ไม่ต้องถึงกับดังเปรี้ยงปร้าง แต่ถ้ามีคนเข้าบ้าง ก็ยังดีกว่าเว็บที่ไม่มีใครเข้าเลย
สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ ดึงดูดใจ
พอเราเลือกเว็บที่จะไปขอลิงก์ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำให้เว็บของเราเองน่าสนใจก่อน เนื้อหาที่ดีคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้คนอื่นอยากจะลิงก์มาหาเรา ลองคิดดูว่าถ้าเราเจอเว็บที่มีข้อมูลเจ๋งๆ มีประโยชน์ หรือมีอะไรที่น่าแชร์ เราก็อยากจะเอาไปบอกต่อ หรือเอาไปอ้างอิงใช่ไหมล่ะ?
- ทำบทความที่ให้ความรู้แบบเจาะลึก
- สร้าง Infographic ที่เข้าใจง่ายและแชร์ต่อได้
- ทำรีวิวสินค้าหรือบริการที่ตรงไปตรงมา
ใช้เทคนิคการทำ Link Building แบบเนียนๆ
การทำ Link Building ไม่ใช่แค่การไปแปะลิงก์มั่วๆ นะ มันต้องมีชั้นเชิงหน่อย ลองใช้วิธีเหล่านี้ดู:
- การทำ Guest Post: เขียนบทความลงในเว็บอื่น แล้วใส่ลิงก์กลับมาที่เว็บเรา เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลดี ถ้าเนื้อหาเรามีคุณภาพ
- การสร้าง Broken Link: หาลิงก์เสียในเว็บอื่น แล้วเสนอตัวไปช่วยแก้ไข โดยแนะนำบทความของเราไปแทนที่
- การทำ Resource Page: ถ้าเว็บเรามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากๆ ลองเสนอให้เว็บอื่นเอาไปใส่ในหน้า Resource ของเขา
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าของเว็บไซต์อื่นก็เป็นสิ่งสำคัญนะ บางทีการพูดคุยกันดีๆ อาจจะนำไปสู่โอกาสในการได้ลิงก์ดีๆ ก็ได้ ลองเข้าไปดู การตรวจสอบ Backlink เพื่อให้เห็นภาพรวมก่อนก็ได้
จำไว้ว่า การทำ Backlink สายเทาที่ดี คือการทำให้มันดูเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนกับว่าคนอื่นอยากจะลิงก์มาหาเราเอง เพราะเนื้อหาเรามันดีจริงๆ
เทคนิคการวาง Backlink สายเทา ให้ปัง
การเลือก Anchor Text ที่เหมาะสม
เรื่อง Anchor Text นี่สำคัญมากนะ เพราะมันเหมือนเป็นป้ายบอกทางให้ Google รู้ว่าหน้าเว็บเราเกี่ยวกับอะไร ถ้าเลือกดีๆ มันจะช่วยให้เราติดอันดับง่ายขึ้นเยอะเลย ลองนึกภาพว่าเรากำลังจะไปหาข้อมูลเรื่อง ‘สูตรทำเค้กช็อกโกแลต’ ถ้าลิงก์ที่กดเข้าไปมันเขียนว่า ‘คลิกที่นี่’ เราก็ไม่รู้เลยว่ามันจะพาไปไหน แต่ถ้าเขียนว่า ‘สูตรเค้กช็อกโกแลตอร่อยๆ’ เราก็จะรู้ทันทีว่าใช่เลย
- ใช้คำที่ตรงกับเนื้อหา: อันนี้เบสิกสุดๆ แต่ก็สำคัญที่สุด เลือกคำที่คนจะใช้ค้นหาจริงๆ เกี่ยวกับหน้านั้นๆ
- ผสมคำที่หลากหลาย: อย่าใช้คำเดิมๆ ซ้ำๆ ตลอดเวลา ลองสลับไปใช้คำที่มีความหมายใกล้เคียงกันบ้าง หรือใช้ชื่อแบรนด์เราบ้างก็ได้
- หลีกเลี่ยงคำที่ดูสแปม: พวก ‘คลิกเลย!’, ‘ฟรี!’, ‘รวยเร็ว!’ อะไรพวกนี้ Google ไม่ชอบนะ บอกเลย
การเลือก Anchor Text ที่ดี มันคือการสื่อสารกับ Google อย่างชาญฉลาด ทำให้เขารู้ว่าหน้าเว็บเรามีอะไรดีๆ รออยู่
การกระจาย Link ให้ดูเป็นธรรมชาติ
เวลาเราทำลิงก์เนี่ย อย่าไปแปะๆ ไว้มั่วๆ นะ มันจะดูไม่น่าเชื่อถือเอามากๆ ลองคิดดูว่าถ้าเราอ่านบทความอยู่ดีๆ แล้วเจอลิงก์โผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มันก็แปลกๆ ใช่ไหมล่ะ?
- วางลิงก์ในบริบทที่เกี่ยวข้องกัน: หาจุดที่มันเข้ากับเนื้อหาจริงๆ แล้วค่อยใส่ลิงก์เข้าไป
- อย่าใส่ลิงก์เยอะเกินไป: ในย่อหน้าเดียว ใส่สัก 1-2 ลิงก์ก็พอแล้ว ถ้าเยอะไปมันจะดูรกตา
- กระจายลิงก์ไปหลายๆ หน้า: ไม่ใช่แค่หน้าแรกหน้าเดียว ลองกระจายลิงก์ไปหน้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย จะได้ดูสมดุล
การสร้างความสัมพันธ์กับเว็บมาสเตอร์
อันนี้อาจจะดูยากหน่อย แต่ถ้าทำได้นี่ผลตอบแทนคุ้มค่ามากนะ การที่เรามีคอนเนคชั่นที่ดีกับเจ้าของเว็บอื่น มันเหมือนเรามีเพื่อนคอยช่วยดันเราทางอ้อมเลย
- เสนอเนื้อหาที่มีประโยชน์: ลองดูว่าเว็บของเขาขาดอะไร แล้วเรามีเนื้อหาที่ช่วยเติมเต็มได้ไหม
- ช่วยเหลือและสนับสนุน: ถ้าเห็นเขาโพสต์อะไรดีๆ ก็เข้าไปคอมเมนต์ หรือแชร์ให้เขาบ้าง
- ติดต่ออย่างสุภาพ: เวลาจะขอลิงก์ หรือเสนออะไร ก็ต้องคุยกันดีๆ อย่าไปสั่งหรือบังคับเขา
การตรวจสอบและวิเคราะห์ Backlink สายเทา
เครื่องมือช่วยส่อง Backlink
พอเราเริ่มทำ Backlink สายเทาไปแล้วเนี่ย สิ่งสำคัญอันดับต้นๆ เลยก็คือต้องคอยส่องดูว่ามันเป็นยังไงบ้าง มีลิงก์ไหนดี ลิงก์ไหนไม่ดี หรือมีใครมาป่วนเว็บเราหรือเปล่า การใช้เครื่องมือช่วยนี่แหละจะทำให้งานเราง่ายขึ้นเยอะเลยนะ ไม่ต้องมานั่งไล่ดูทีละลิงก์ให้ปวดหัว
เครื่องมือยอดฮิตที่คนทำ SEO นิยมใช้กันก็มีหลายตัวเลยนะ แต่ละตัวก็จะมีจุดเด่นต่างกันไป ลองดูลิสต์นี้:
- Ahrefs: ตัวนี้ถือว่าเทพมากในเรื่องการวิเคราะห์ Backlink เลยก็ว่าได้ มันจะบอกเราได้หมดว่าเว็บไหนลิงก์มาหาเราบ้าง ลิงก์นั้นคุณภาพเป็นไง โดเมนของเว็บที่ลิงก์มามีค่าเท่าไหร่ แถมยังดูคู่แข่งได้ด้วยนะ
- Semrush: ก็ไม่น้อยหน้า Ahrefs เลยนะ Semrush ก็มีฟีเจอร์วิเคราะห์ Backlink ที่ละเอียดเหมือนกัน แถมยังรวมเครื่องมือ SEO อื่นๆ ไว้เยอะแยะเลย เหมาะกับคนที่อยากได้เครื่องมือครบวงจร
- Moz Link Explorer: เป็นอีกตัวที่น่าสนใจ ราคาไม่แรงเท่าสองตัวแรก แต่ก็ให้ข้อมูล Backlink ที่มีประโยชน์เหมือนกันนะ โดยเฉพาะเรื่อง Domain Authority (DA) กับ Page Authority (PA)
- Google Search Console: อันนี้ฟรี! และสำคัญมาก Google เขาให้เครื่องมือนี้มาให้เราเช็คเว็บตัวเองโดยตรงเลยนะ จะเห็นว่ามีลิงก์ไหนที่ Google ตรวจเจอ หรือมีปัญหาอะไรกับลิงก์ของเราบ้าง
การอ่านค่าและตีความข้อมูล
พอได้ข้อมูลจากเครื่องมือมาแล้ว ก็ต้องมานั่งดูกันว่ามันหมายความว่ายังไงบ้างนะ การตีความข้อมูลให้ถูกเป็นหัวใจสำคัญของการปรับปรุงกลยุทธ์เลยล่ะ ไม่งั้นเราก็จะมัวแต่ทำอะไรไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่ามันเวิร์คจริงไหม
เวลาดูข้อมูล Backlink ให้ลองสังเกตพวกนี้:
- จำนวนลิงก์: มีลิงก์เข้ามาเยอะแค่ไหน เพิ่มขึ้นหรือลดลง
- คุณภาพของเว็บที่ลิงก์มา: เว็บนั้นเกี่ยวกับเว็บเราไหม มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน อันดับใน Google เป็นยังไง
- Anchor Text: ข้อความที่เราใช้ทำลิงก์เป็นแบบไหน มันดูเป็นธรรมชาติหรือดูยัดเยียดเกินไป
- Link Profile: ภาพรวมของลิงก์ทั้งหมดที่เรามี มันดูสมดุลดีไหม หรือมีลิงก์เสียๆ เยอะเกินไป
การดูแค่จำนวนลิงก์อย่างเดียวไม่พอจริงๆ นะ ต้องดูคุณภาพของลิงก์ด้วย ไม่งั้นอาจจะเจอลิงก์จากเว็บสแปมเข้ามาเยอะๆ แล้วเว็บเราจะโดน Google ลงโทษเอาได้
การปรับปรุงกลยุทธ์ตามผลลัพธ์
หลังจากที่เราวิเคราะห์ข้อมูลมาแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือปรับปรุงกันแล้วล่ะ ถ้าเจอลิงก์ไม่ดี หรือเว็บที่ลิงก์มามีปัญหา ก็ต้องจัดการนะ
- ถ้าเจอลิงก์สแปม: ให้ลองใช้ฟีเจอร์ Disavow Tool ใน Google Search Console เพื่อบอก Google ว่าเราไม่ต้องการลิงก์พวกนี้
- ถ้าลิงก์ที่ได้มาคุณภาพต่ำ: ลองพิจารณาว่าจะยังเก็บลิงก์นั้นไว้ไหม หรือจะลองติดต่อไปยังเว็บมาสเตอร์เพื่อขอให้เอาออก
- ถ้า Anchor Text ดูไม่เป็นธรรมชาติ: ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปใช้ Anchor Text ที่หลากหลายและดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- ถ้าเว็บที่ลิงก์มามีปัญหา: อาจจะต้องพิจารณาตัดลิงก์นั้นออกไปเลย เพื่อไม่ให้กระทบกับอันดับของเว็บเรา
การทำแบบนี้จะช่วยให้ Backlink Profile ของเราดูดีขึ้นในสายตา Google และช่วยให้เว็บเรามีอันดับที่ดีขึ้นในระยะยาวนะ
ข้อควรระวังและสิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด
เรื่อง Backlink สายเทาเนี่ย มันก็เหมือนดาบสองคมนะ ทำดีก็ได้ดี ทำพลาดก็อาจจะเจ็บตัวได้ง่ายๆ เลย วันนี้เราจะมาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ควรเลี่ยง เพื่อให้การทำ Backlink ของเราปลอดภัยและได้ผลจริงๆ
อย่าซื้อขาย Backlink โดยตรง
การซื้อขาย Backlink โดยตรงเนี่ย เป็นอะไรที่ Google จับตาดูเป็นพิเศษเลยนะ ถ้าโดนจับได้ เว็บไซต์ของเราอาจจะโดนลงโทษแบบหนักหน่วงได้เลย ลองคิดดูว่าถ้าเราจ่ายเงินไปแล้วเว็บเราโดนแบนขึ้นมา มันจะคุ้มกันไหม? การซื้อขายลิงก์แบบตรงไปตรงมาถือเป็นวิธีที่เสี่ยงที่สุด ควรหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด
หลีกเลี่ยงการใช้โปรแกรมอัตโนมัติ
สมัยนี้มีโปรแกรมทำ SEO เยอะแยะไปหมดเลยนะ ที่เคลมว่าช่วยสร้าง Backlink ให้เราได้แบบอัตโนมัติ แต่ส่วนใหญ่แล้ว โปรแกรมพวกนี้มักจะสร้างลิงก์คุณภาพต่ำ หรือไม่ก็สร้างลิงก์ในรูปแบบที่ผิดธรรมชาติมากๆ ซึ่ง Google มองออกได้ง่ายๆ เลยนะ การใช้โปรแกรมพวกนี้อาจจะทำให้เราได้ลิงก์มาเยอะก็จริง แต่คุณภาพมันสวนทางกันเลย สุดท้ายอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีนะ
อย่าปั่น Link จนผิดธรรมชาติ
การสร้างลิงก์ให้ดูเป็นธรรมชาติเป็นเรื่องสำคัญมากนะ ลองนึกภาพว่าถ้ามีลิงก์เข้ามาหาเว็บเราเยอะแยะไปหมดในเวลาอันสั้น โดยที่เนื้อหาบนเว็บเรายังไม่ได้ดีพอ หรือไม่มีความเกี่ยวข้องกับลิงก์เหล่านั้นเลย มันก็ดูน่าสงสัยใช่ไหมล่ะ? Google เองก็คิดแบบนั้นแหละ การกระจายลิงก์อย่างสม่ำเสมอ และมาจากแหล่งที่ดูสมเหตุสมผล จะช่วยให้เว็บเราดูน่าเชื่อถือมากกว่าเยอะเลย
การทำ Backlink สายเทา ต้องเน้นความ เนียน และ เป็นธรรมชาติ เป็นหลักนะ อย่าคิดแค่ว่าจะเอาลิงก์มาให้ได้เยอะๆ อย่างเดียว แต่ต้องดูเรื่องคุณภาพและความเหมาะสมของลิงก์ด้วย ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นดาบสองคมที่ทำร้ายเว็บเราเองได้เลย
การรับมือเมื่อ Backlink สายเทา มีปัญหา
สัญญาณเตือนที่ต้องสังเกต
บางทีเราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าไอ้เจ้า Backlink สายเทาที่เราทำๆ ไปเนี่ย มันกำลังจะสร้างปัญหาให้เว็บเราหรือเปล่า? มันมีสัญญาณเตือนเล็กๆ น้อยๆ ที่เราควรมองให้ออกนะ อย่างแรกเลยคืออันดับเว็บเราที่เคยดีๆ อยู่ ดันร่วงลงไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือบางทีก็โดน Google เตะโด่งไปเลยก็มีนะ
- อันดับ SEO ร่วงกะทันหัน: จู่ๆ อันดับคำที่เคยติดหน้าแรกก็หายไปเฉยๆ
- โดน Google Penalty: เว็บไซต์อาจจะหายไปจากผลการค้นหาเลย หรือโดนลดอันดับแบบหนักๆ
- Traffic ลดลงผิดปกติ: จำนวนผู้เข้าชมเว็บลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆ ที่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไร
- ได้รับข้อความแจ้งเตือนจาก Google Search Console: อันนี้ชัดเจนสุดๆ ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว
วิธีแก้ไขเบื้องต้น
ถ้าเริ่มเห็นสัญญาณเตือนแล้ว อย่าเพิ่งตกใจไปนะ เรายังมีวิธีแก้ไขอยู่ ลองทำตามนี้ดูก่อน:
- รีบไปส่องดู Backlink: ใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs, SEMrush หรือ Majestic เพื่อดูว่ามีลิงก์แปลกๆ หรือลิงก์จากเว็บคุณภาพต่ำเข้ามาเยอะไหม
- ประเมินความเสียหาย: ดูว่าลิงก์ที่น่าสงสัยมาจากเว็บประเภทไหน มีปริมาณเท่าไหร่ และส่งผลกระทบต่อเว็บเรามากน้อยแค่ไหน
- ค่อยๆ ทยอยลบลิงก์เสีย: ถ้าเจอลิงก์ที่แย่มากๆ หรือมาจากเว็บสแปมชัดเจน ก็ค่อยๆ ทยอยขอให้เว็บมาสเตอร์ของเว็บนั้นๆ ลบออกไป หรือถ้าติดต่อไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะต้องใช้เครื่องมือของ Google ช่วย
การแก้ไขปัญหา Backlink สายเทา ต้องทำอย่างใจเย็นและเป็นระบบ อย่ารีบร้อนลบทุกอย่างที่ขวางหน้า เพราะบางทีลิงก์ดีๆ อาจจะโดนลบไปด้วยโดยไม่ตั้งใจ
การขอให้ Google เพิกถอน Link
ในกรณีที่เจอลิงก์แย่ๆ เยอะมากจริงๆ และติดต่อเจ้าของเว็บเพื่อขอให้ลบลิงก์ไม่ได้เลย เราก็ยังมีไม้เด็ดสุดท้ายคือการใช้เครื่องมือ Disavow Tool ของ Google ครับ วิธีนี้คือการบอก Google ตรงๆ ว่า "เฮ้ย ลิงก์พวกนี้ฉันไม่เกี่ยวนะ ไม่ต้องเอามาคิดคะแนนให้ฉันนะ"
- เตรียมไฟล์ .txt: รวบรวม URL ของลิงก์ที่เราต้องการให้ Google เพิกถอนทั้งหมด ใส่ไว้ในไฟล์ .txt
- อัปโหลดไฟล์ผ่าน Disavow Tool: เข้าไปที่ Google Search Console แล้วเลือกเครื่องมือ "Disavow links"
- รอ Google ประมวลผล: หลังจากอัปโหลดไฟล์ไปแล้ว Google จะใช้เวลาสักพักในการประมวลผลคำขอของเรา ซึ่งอาจจะเห็นผลทันทีหรือไม่ทันทีก็ได้
จำไว้ว่าการใช้ Disavow Tool เป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ เพราะถ้าเราใช้ผิดพลาด อาจจะส่งผลเสียต่ออันดับเว็บเราได้มากกว่าเดิมอีกนะ
การสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์
พอพูดถึงเรื่อง Backlink สายเทาแล้ว หลายคนอาจจะกังวลว่าเว็บเราจะดูไม่น่าเชื่อถือหรือเปล่า? จริงๆ แล้ว การสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บมันมีหลายอย่างประกอบกันนะ ไม่ใช่แค่เรื่องลิงก์อย่างเดียว
คุณภาพเนื้อหาคือหัวใจสำคัญ
อันนี้คือเรื่องจริงที่ต้องย้ำ! ต่อให้มีลิงก์ดีแค่ไหน แต่ถ้าเนื้อหาในเว็บเรามันห่วยแตก คนอ่านก็ไม่อยู่หรอก แล้ว Google ก็ไม่ชอบด้วยนะ
- เขียนอะไรที่คนอยากอ่านจริงๆ: คิดถึงคนที่จะเข้ามาอ่านเว็บเราสิ ว่าเขาอยากรู้อะไร อยากแก้ปัญหาอะไร แล้วเราตอบโจทย์เขาได้ไหม
- ข้อมูลต้องแน่น: หาข้อมูลมาให้ดี ให้ถูกต้อง อ้างอิงได้ยิ่งดี จะได้ดูน่าเชื่อถือ
- อ่านง่าย เข้าใจง่าย: ใช้ภาษาธรรมดาๆ ไม่ต้องซับซ้อนมาก แบ่งย่อหน้าให้ดี ใส่รูปภาพประกอบบ้างก็ดีนะ
เนื้อหาที่ดีมันเหมือนเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดทั้งคนอ่านและลิงก์ดีๆ เข้ามาเองแหละ
ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี
เวลาคนเข้ามาเว็บเราแล้วรู้สึกยังไง? ถ้าเข้ามายาก โหลดช้า หาอะไรก็ไม่เจอ แบบนี้ใครจะอยากอยู่ต่อล่ะ จริงไหม?
- เว็บต้องโหลดเร็ว: ไม่มีใครชอบรอหรอกนะ ลองเช็คความเร็วเว็บตัวเองดูบ้าง
- ใช้งานง่าย: เมนูต่างๆ ต้องชัดเจน คนเข้ามาแล้วรู้เลยว่าต้องไปตรงไหน
- รองรับทุกอุปกรณ์: เดี๋ยวนี้คนใช้มือถือเยอะมาก เว็บเราต้องแสดงผลได้ดีบนมือถือด้วยนะ
การสร้าง Brand Authority
อันนี้อาจจะฟังดูยากหน่อย แต่จริงๆ มันคือการทำให้คนรู้จักและเชื่อมั่นในแบรนด์ของเรานั่นแหละ
- แสดงตัวตนให้ชัดเจน: บอกว่าเราคือใคร ทำอะไร มีจุดเด่นยังไง
- มีส่วนร่วมกับคนอื่น: ไปคอมเมนต์ในเว็บอื่น หรือตอบคำถามในฟอรั่มที่เกี่ยวกับเว็บเราบ้าง
- สร้างคอนเทนต์ต่อเนื่อง: อัปเดตเว็บสม่ำเสมอ ให้คนรู้ว่าเรายังแอคทีฟอยู่
อนาคตของ Backlink สายเทา
เรื่องของ Backlink สายเทาเนี่ย มันก็เหมือนกับเทคโนโลยีอื่นๆ แหละครับ มีมาเรื่อยๆ แล้วก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา สิ่งที่เราทำวันนี้ อาจจะใช้ไม่ได้ผลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็ได้นะ
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของ Algorithm
Google เขาไม่หยุดนิ่งหรอกครับ พวก Algorithm ของเขาก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เพื่อจับพวกที่พยายามโกง หรือทำอะไรที่ไม่เป็นธรรมชาติให้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเทคนิคเก่าๆ ที่เคยเวิร์ค อาจจะกลายเป็นดาบสองคมไปเลยก็ได้นะ เราต้องคอยตามข่าวสารและอัปเดตตัวเองอยู่เสมอ ไม่งั้นอาจจะโดนลงโทษแบบไม่รู้ตัวเลยก็ได้นะ
การปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล
ยุคนี้มันเปลี่ยนไปเร็วมากจริงๆ ครับ คนทำ SEO ก็ต้องปรับตัวตามให้ทัน พวกเทคนิคที่เคยใช้ได้ผลดีในอดีต อาจจะต้องปรับเปลี่ยน หรือหาเทคนิคใหม่ๆ มาใช้แทน การทำอะไรที่มันดูเป็นธรรมชาติ และเน้นคุณภาพจริงๆ จะอยู่ได้นานกว่าเสมอ ลองดูเรื่องการทำ On-Page SEO ที่ดีควบคู่ไปด้วยก็ช่วยได้เยอะเลยนะ
การสร้าง Backlink อย่างยั่งยืน
สุดท้ายแล้ว การสร้าง Backlink ที่ดีและยั่งยืน มันก็คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเว็บอื่นๆ การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพจริงๆ จนคนอื่นอยากจะอ้างอิงถึง หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในชุมชนออนไลน์อย่างมีความหมาย มันอาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่รับรองว่าผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มค่าและปลอดภัยในระยะยาวแน่นอนครับ
- เน้นคุณภาพเนื้อหามากกว่าปริมาณ
- สร้างความสัมพันธ์กับเว็บมาสเตอร์อย่างจริงใจ
- ติดตามการอัปเดตของ Google อย่างสม่ำเสมอ
การทำอะไรที่มันดูเป็นธรรมชาติและมีประโยชน์จริงๆ จะช่วยให้เว็บไซต์ของเราเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว
สำหรับหัวข้อ "อนาคตของ Backlink สายเทา" นั้น การสร้างลิงก์แบบนี้อาจจะดูซับซ้อน แต่จริงๆ แล้วมันคือการหาทางให้เว็บไซต์ของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นในโลกออนไลน์ ลองนึกภาพว่าเรากำลังสร้างสะพานเชื่อมไปยังเว็บไซต์ของเราจากที่อื่นๆ ยิ่งสะพานแข็งแรงและมีคนใช้เยอะเท่าไหร่ เว็บไซต์ของเราก็จะยิ่งมีคนเห็นมากขึ้นเท่านั้น ถ้าอยากรู้ว่าทำยังไงให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นและมีคนเข้าเยอะๆ ลองเข้ามาดูเคล็ดลับดีๆ ที่เว็บไซต์ของเราได้เลย เรามีเครื่องมือและคำแนะนำที่จะช่วยให้คุณทำ SEO ได้ง่ายขึ้นเยอะ!
สรุปส่งท้าย: ทำ Backlink สายเทาแบบไม่เจ็บตัว
เอาล่ะครับ มาถึงบทสรุปกันแล้วนะ หวังว่าข้อมูลที่เราคุยกันมาทั้งหมด จะช่วยให้เพื่อนๆ ที่ทำสายเทาเข้าใจเรื่อง Backlink มากขึ้นนะ การทำ Backlink มันก็เหมือนการสร้างบ้านนั่นแหละ ต้องค่อยๆ วางแผนดีๆ เลือกใช้วัสดุที่ปลอดภัย ไม่ใช่แค่เน้นสวยงามอย่างเดียว ถ้าเราทำแบบมีหลักการ ไม่รีบร้อน ไม่เสี่ยงทำอะไรที่ผิดกฎจนเกินไป มันก็ช่วยให้เว็บเราโตแบบยั่งยืนได้จริงๆ นะ ลองเอาเทคนิคพวกนี้ไปปรับใช้ดู ไม่แน่ เว็บสายเทาของคุณอาจจะปังกว่าเดิมก็ได้ ใครจะรู้!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Backlink สายเทา
Backlink สายเทา คืออะไร? มันอันตรายไหม?
Backlink สายเทา ก็เหมือนเพื่อนที่คอยบอกต่อๆ กันไปว่าเว็บไซต์ของเราเจ๋ง แต่บางทีการบอกต่อมาจากแหล่งที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก อาจทำให้ Google มองว่าเราไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยต้องระวังเป็นพิเศษครับ
ทำไมต้องสนใจ Backlink สายเทา ถ้ามันเสี่ยง?
บางที Backlink สายเทา ก็มาจากเว็บที่คนเข้าเยอะๆ หรือเว็บที่เกี่ยวกับเรื่องที่เราทำพอดี การได้ลิงก์จากที่นี่มาบ้าง อาจช่วยให้คนรู้จักเรามากขึ้น แต่ก็ต้องดูดีๆ นะครับว่าคุ้มกับความเสี่ยงหรือเปล่า
ถ้าอยากทำ Backlink สายเทา ควรเริ่มยังไงดี?
อันดับแรกเลย ต้องหาแหล่งที่จะมาลิงก์ให้เราให้ดีก่อนครับ เลือกเว็บที่ดูน่าเชื่อถือหน่อย แล้วก็ต้องสร้างเนื้อหาในเว็บเราให้น่าสนใจมากๆ คนจะได้อยากเข้ามาดูและอยากจะลิงก์มาหาเราเอง
มีวิธีทำ Backlink สายเทา แบบเนียนๆ ไหม?
มีครับ! ลองเอาลิงก์ไปแปะในเนื้อหาที่มันเกี่ยวข้องกันแบบธรรมชาติ หรือลองไปช่วยตอบคำถามในเว็บบอร์ด แล้วก็ใส่ลิงก์ของเราไปแบบไม่น่าเกลียด หรือจะลองสร้างคอนเทนต์ดีๆ ให้คนอื่นอยากแชร์ต่อก็ได้ครับ
เลือกคำที่จะใช้ทำลิงก์ (Anchor Text) ยังไงให้เวิร์ค?
เลือกคำที่มันตรงกับเนื้อหาที่เราจะลิงก์ไปนะ จะได้ดูไม่แปลกตา แล้วก็อย่าใช้คำเดิมๆ ซ้ำๆ บ่อยเกินไป ลองเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ให้มันดูหลากหลายเหมือนคนจริงๆ ทำครับ
ถ้า Google จับได้ว่าเราทำ Backlink สายเทา จะโดนลงโทษไหม?
ถ้า Google คิดว่าเราทำอะไรไม่ถูกต้อง อาจจะโดนลดอันดับ หรือหายไปจากผลการค้นหาเลยก็ได้ครับ เหมือนโดนทำโทษเลย ดังนั้นต้องทำอย่างระมัดระวังมากๆ
มีเครื่องมืออะไรช่วยดู Backlink ของเราได้บ้าง?
มีหลายตัวเลยครับ เช่น Ahrefs, SEMrush หรือ Moz พวกนี้จะช่วยบอกได้ว่าใครลิงก์มาหาเราบ้าง แล้วลิงก์นั้นดีหรือไม่ดี ลองไปหามาใช้ดูนะครับ
ถ้าเจอ Backlink ที่ไม่ดี ควรทำยังไง?
ถ้าเจอลิงก์ที่ดูไม่น่าไว้ใจมากๆ หรือมาจากเว็บที่แย่สุดๆ เราสามารถบอกให้ Google ลืมลิงก์นั้นไปได้ครับ เรียกว่าการ ‘ปฏิเสธลิงก์’ (Disavow) แต่ต้องทำอย่างถูกวิธีนะครับ ไม่งั้นอาจจะแย่กว่าเดิม